ย้อนรอยเส้นทางยักษ์ “Microsoft” แชมเปี้ยนเทคโนโลยีในยุคคอมพิวเตอร์ PC
สู่ผู้พ่ายแพ้ในยุคอินเทอร์เน็ต-สมาร์ทดีไวซ์-คลาวด์ สู่การทวงบัลลังก์เทคโนโลยีซอฟต์แวร์เอไอ
ชื่อของ “Microsoft” กลับมาเป็นที่ฮือฮาอีกครั้งในช่วงสองถึงสามปีนี้ ในจังหวะที่เทคโนโลยี Generative AI บูมขึ้นมา โดยเฉพาะการเปิดตัวโปรดักต์จาก OpenAI ซึ่ง Microsoft ได้ลงทุนไว้ เรียกได้ว่า “จับทางถูก” ทั้งยังค่อนข้างตรงกับวิถีของบริษัทที่ต้องการนำเทคโนโลยีสู่ผู้ใช้ทั่วไปได้ง่าย เหมือนตอนที่ “บิล เกตส์” เริ่มต้นการเขียนซอฟต์แวร์ให้เครื่องคอมขนาดเล็ก และพยายามขายระบบปฏิบัติการให้ครอบคลุม คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) ทุกรุ่น ไม่ว่าเจ้าของจะเป็นใคร เพื่อให้แพร่หลายมากที่สุด จนเป็นผู้ชนะในยุคของ PC กลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่ซอฟต์แวร์ปฏิบัติการ อย่าง Windows แทบจะผูกขาดขาดคอม ทุกเครื่องในช่วงปี 1995-2010 และทำให้ บิล เกตส์ ร่ำรวยที่สุดในโลก
ความน่าสนใจของ Microsoft คือ หลังจากการมาถึงของยุคอินเทอร์เน็ตให้กำเนิดบิ๊กเทคใหม่ คือ Google ตามมาด้วยการคืนชีพของคู่แข่งเก่าแก่อย่าง Apple inc. ที่เปลี่ยนเทรนด์ของคอม PC สู่ยุคสมาร์ทดีไวซ์ ด้วยการเปิดตัวมือถือ iPhone ที่สร้างความนิยมและเปลี่ยนวิธีการใช้คอมพิวเตอร์ของโลกไป ช่วงเวลานี้ยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ขยับยาก
Windows 8 ประสบปัญหาไม่มีอะไรใหม่ ๆ ล่าช้าในการอัพเดต ซ้ำพิษของการก๊อบปี้ซอฟต์แวร์เถื่อนส่งผลต่อการขายไลเซนส์แบบดั้งเดิม การร่วมมือกับยักษ์มือถืออย่าง Nokia เพื่อทำ Windows Phone ก็ล้มเหลว ขณะที่ฝั่งของคลาวด์คอมพิวติ้งก็เริ่มต้นล่าช้าเป็นรอง Amazon Web Services
ราคาหุ้นก็ซบเซา มูลค่าร่วง ไม่น่าดึงดูดอีกต่อไป หลายคนมองว่ายุคของสมาร์ทดีไวซ์และคลาวด์ อาจทำให้ยักษ์ Microsoft ล้มและไปต่อไม่ไหว
เรียกว่า “เกือบหลับ” แต่ “กลับมาได้”
ย้อนรอยเส้นทางของ “แชมเปี้ยน” เทคโนโลยี
ในประวัติศาสตร์การแข่งขันทางเทคโนโลยี มักจะมีคู่แข่งที่ขับเคี่ยวกันสองราย แต่ผู้ชนะมักจะเป็นสิ่งใหม่ และมักจะทิ้งห่าง คู่แข่งเบอร์ 2 หลายเท่าตัว
จากประวัติศาสตร์ช่วงที่ใกล้ที่สุด เราคงเห็นแนวโน้มแล้วว่า การแข่งขันทางด้านเอไอ ผู้ที่ได้ประโยชน์และจะกลายเป็นแชมเปี้ยน คือผู้ผลิตการ์ดจอสำหรับเกมมาก่อน อย่าง NVIDIA ส่วนทางด้านการปรับใช้ประโยชน์ยังไม่มีผลที่แน่ชัดระหว่างบิ๊กเทคสายซอฟต์แวร์
การแข่งขันในยุคอินเทอร์เน็ต เราคิดว่าเป็นการแข่งขันของซอฟต์แวร์บราวเซอร์ แต่ผู้ที่ชนะคือคนที่ทำเสิร์ชเอ็นจิ้น อย่าง Google
ย้อนไปในยุคเริ่มต้นของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล คือยุคของการแข่งขันระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น IBM, HP แบรนด์ย่อย ๆ อย่าง compaq และอื่น ๆ ผู้ท้าชิงสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์ การสร้างคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก สำหรับคนทั่วไปหรือโฮมคอมพิวเตอร์ คือ Apple computer นำโดย “สตีฟ จ็อบส์”
ประวัติศาสตร์ตรงนี้คนที่ติดตามแวดวงเทคโนโลยีคงรู้จักดีว่า “สตีฟ จ็อบส์” พัฒนาคอมพิวเตอร์สำหรับบ้าน ขึ้นมาเพื่อท้าทายกับความเชื่อที่ว่า “คอมพิวเตอร์” เป็นเครื่องมือของบริษัทหรือองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น เพราะขณะนั้นนักลงทุนไม่เข้าใจว่าคนทั่วไปจะเอาคอมพิวเตอร์ไปไว้ที่บ้านทำไม
แต่ในยุคนั้น ผู้ที่ชนะไม่ใช่คนที่ทำคอมพิวเตอร์ แต่เป็นคนที่เขียนซอฟต์แวร์ ระบบปฏิบัติการ ให้กับคอมพิวเตอร์ แน่นอนว่า ผู้ชนะคือ “บิล เกตส์”
จากความเชื่อที่ว่า ถ้าคอมพิวเตอร์ไม่มีโปรแกรมหรือระบบปฏิบัติการก็ไม่ต่างจาก “กล่องเหล็กที่มีไฟกะพริบ” และไม่มีคนทั่วไปที่ไหนจะเสียเวลาเพื่อเขียนคำสั่งให้กับกล่องไฟนั้น
ในช่วงทศวรรษที่ 1970 บริษัท Intel สามารถพัฒนาแผงวงจรให้เล็กลง จากการใช้หลอดสุญญากาศใหญ่ ๆ สู่ Microchip ตามมาด้วยแผงวงจรอื่น ๆ ทำให้ใคร ๆ ก็สามารถประกอบคอมพิวเตอร์ได้ “Microsoft” เริ่มจากจุดนั้น ตามชื่อของบริษัทอย่างตรงมาว่าเป็นผู้เขียน Software ให้กับ Micro Computer
ต่อมาในยุค 1980 คือการแข่งขันกันสร้าง PC เนื่องจากยอดขายของบริษัทเล็กๆ อย่าง Apple กำลังได้รับความนิยม จนยักษ์ฝหญ่ทนไม่ได้ต้องเข้ามากินส่วนแบ่งในตลาดคอม PC
ดีลประวัติศาสตร์ คือ การที่มาเฟียของวงการคอม อย่าง IBM จะลงมาทำ PC เอง จึงต้องการระบบปฏิบัติการ และแน่นอนว่านี่คือโอกาสที่ “Microsoft” ไม่อาจปล่อยให้หลุดมือได้ “บิล เกตส์” เข้าพบผู้บริหาร IBM และเสนอระบบปฏิบัติการสำหรับ PC ให้ และ IBM ตอบตกลง
ตรงนี้ต้องจารึกไว้ เพราะภายใต้การตกลงนี้ Microsoft ยังไม่มีและยังไม่ได้เขียน ระบบปฏิบัติการอย่างที่เสนอเลย คือ ดีลช่วงหน้าหลอกยักษใหญ่ไปเสียอย่างนั้น
แต่สุดท้าย บิล เกตส์ ก็หาระบบนั้นมาได้ ด้วยการไปซื้อมาจากบริษัทซอฟต์แวร์เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง แล้วนำมาปรับปรุง เปลี่ยนชื่อ จนเป็นที่รู้จักในชื่อ MS DOS
และข้อตกลงนี้เปิดโอกาสให้ Microsoft ขายซอฟต์แวร์ DOS ให้ใครก็ได้ โดยจะแถมติดกับเครื่องไป และ Microsoft จะได้ส่วนแบ่งในทุกเครื่อง ทำให้ซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟท์ไปอยู่กับผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วโลกทั้งฝั่งอเมริกาและญี่ปุ่น
ยกเว้น Apple เพียงรายเดียวที่ Microsoft ไม่สามารถขายซอฟต์แวร์ให้ได้

กำเนิด Windows และ Microsoft Office
จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนของคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เมื่อ Apple ได้นำเทคโนโลยี กราฟิกอินเตอร์เฟซ ซึ่งบริษัท ซีร็อกซ์ เป็นผู้คิดค้นนำมาพัฒนาต่อเป็นระบบปฏิบัติการแบบใหม่ ที่แสดงผลเป็นรูปภาพ ใช้เมาส์ คลิกสั่งการคอมพิวเตอร์แทนที่มีการสั่งงานด้วย การพิมพ์คำสั่ง หรือ Prompting แบบดั้งเดิม
เมาส์ และกราฟิกอินเตอร์เฟซ เป็นระบบหลักของคอมพิวเตอร์ที่ยังใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน ในตอนนั้น ไมโครซอฟท์จึงอยู่เฉยไม่ได้ พวกเขาถอดแบบกราฟิกอินเตอร์เฟซ แล้วพัฒนาระบบปฏิบัติการใหม่ของตนขึ้นมา ในชื่อว่า Windows
การพัฒนาส่วนนี้ เป็นการเปิดหน้าปะทะกันตรง ๆ ระหว่าง Apple และ Microsoft
สุดท้าย Apple มีการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร “สตีฟ จ็อบส์” ถูกปลดจากตำแหน่ง และมุ่งเน้นการพัฒนาคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานเฉพาะทาง ขณะที่ Microsoft จับจุดถูกอีกครั้ง เพราะพบว่าคนทั่วไปที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล จำเป็นต้องมีโปรแกรมสำนักงานหรือเอกสาร
กลุ่มผลิตภัณฑ์ Microsoft Office จึงถือกำเนิดขึ้น และพ่วงติดไปกับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่รันด้วย Windows มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน มีความหลากหลาย และท้ายที่สุดก็สามารถรองรับการ เล่นเกมหรือความบันเทิงต่าง ๆ เมื่อเทคโนโลยี 3 มิติ แพร่หลายมากขึ้น
MS Windows 95 เรียกได้ว่าเป็นระบบปฏิบัติการกราฟิกอินเตอร์เฟซที่สมบูรณ์แบบที่สุด มีความยืดหยุ่นสูง เมื่อรวมกับโปรแกรมเอกสารก็ครอบครองเครื่องพีซีแทบทุกเครื่องในโลก จนส่งผลให้ บิล เกตต์ กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และ Microsoft กลายเป็นเบอร์หนึ่งของบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ในช่วงปี 1998 มูลค่าราว 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
การวางขายระบบปฏิบัติการ Windows 95 ในช่วงสิงหาคม 2538 (Photo by PAUL J. RICHARDS/AFP)
บิล เกตต์ โฟนลิงก์เข้ามาในงาน World Mac ในขณะที่ สตีฟ จ็อบส์ ประกาศความร่วมมือให้มีการใช้ไลเซนส์ซอฟต์แวร์ของ Microsoft ข้ามมาในระบบปฏิบัติการของ Apple ได้ หลังบิล เกตส์ พยายามขายให้ APple มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 และ Microsoft ได้ลงทุน 150,000,000 เหรียญสหรัฐ และ “บิล เกตส์์” เข้ามาเป็นบอร์ดบริหารของ Apple ยุติศึกของสองยักษ์ด้วยชัยของ Microsoft (Photo by JOHN MOTTERN/AFP)
ยุคอินเทอร์เน็ต-เสิร์ชเอ็นจิ้น
ในช่วงปี 2000 เราทราบกันดีว่า เป็นช่วงของวิกฤตฟองสบู่ดอทคอม การบูมของเว็บไซต์ในยุคนี้เป็นการแข่งขันกันของซอฟต์แวร์ ที่เรียกว่า “บราวเซอร์” เนื่องจากเว็บเกิดขึ้นมาก ต้องมีช่องทางในการท่องเว็บ หรือเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Netscap, Web Explorer, Firefox เป็นต้น
ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 Microsoft กระโดดเข้ามาแข่งกับเจ้าตลาดอย่าง Netscap ด้วยการออก MS Internet Explorer หรือ IE และอาศัยจุดแข็งของการเป็นระบบปฏิบัติการของคอมแทบทั้งโลกฝัง IE เข้าไปในระบบเป็นพื้นฐาน จนโดนฟ้องเรื่องการผูกขาดทางการค้าจึงยอมให้ผู้ใช้สามารถกดถอนการติดตั้ง IE จาก Windows ได้
ดูเหมือนว่า Microsoft จะชนะในยุคนี้ แต่ไม่ใช่
ด้วยความที่เว็บมีจำนวนมหาศาล ผู้ชนะคือ “Search engine” ของบริษัทเล็ก ๆ ชื่อ Google ที่ใช้อัลกอริทึ่มให้คะเเนนเว็บไซต์ตามความนิยม เนื้อหา และการเข้าใช้แล้วเรียงแสดงผลใหม่ 10 อันดับแรก จากเดิม ผู้ให้บริการเสิร์ชเอ็นจิ้น มักแสดงผลเรียงตามตัวอักษรหรือ Directory ทำให้การแสดงผลของ Google ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมากกว่า
Google ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีโมเดลรายได้ใหม่ คือ การโชว์โฆษณา หรือขายโฆษณา มากกว่าจะขายไลเซนส์ของผลิตภัณฑ์ เหมือน Microsoft
ไม่นาน Google ก็ก้าวกระโดดมาพัฒนา web browser ของตัวเองอย่าง Chrome รวมถึงบริการอีเมล์ ที่เรียกว่าตอนนี้เป็นกุญแจใช้งานโลกออนไลน์เลยทีเดียว
กว่าที่ไมโครซอฟท์จะรู้ตัวแล้วสร้างเสิร์ชเอ็นจิ้นของตัวเอง คือ Microsoft Bing ก็ถูกทิ้งห่างไว้ข้างหลัง แบบกู่ไม่ก้อง
ความล้มเหลวของ Windows Phone
และไม่นานจากนั้น ราว 2008-2010 เมื่อเข้าสู่ยุคสมาร์ทโฟน Google ก็เดินตามรอย Microsoft คือเป็นเข้าของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ซึ่งมือถือมากกว่า 70% ของโลกปัจจุบันรันด้วยแอนดรอยด์ ทำให้ Google ฝัง Chrome ลงมาด้วย ทั้งบนเว็บเบสก็พ่วงทั้งบริการอีเมล์ คลาวด์ และเสิร์ชเอ็นจิ้นครบเครื่อง จนในที่สุด ก็ไม่มีคนใช้ IE ของ Microsoft จนต้องเลิกการอัพเดตไป
ในช่วงเดียวกัน คู่แข่งเก่าอย่าง Apple ก็ได้ “สตีฟ จ็อบส์” กลับมา และเดินหน้าเสนอ iPhone สู่ตลาด ทั้งยกเครื่องผลิตภัณฑ์ Apple ทั้งหมด รวมถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่าง iMac และ MacBook ที่มีระบบปฏิบัติการคู่กัน และสร้างการเติบโตใหม่จากการทำตลาดอย่างหนักทั่วโลก
The Nokia Lumia 1020 a Windows Phone with a 41-megapixel camera (Photo by TIMOTHY CLARY/AFP)
ในปี 2010 หุ้น Apple เพิ่มขึ้นจนบริษัทมีมูลค่ามากกว่า Microsoft ที่ตอนนี้ร่วงจากอันดับหนึ่งมาอยู่อันดับ 5 ที่มูลค่า 2แสนล้านเหรียญสหรัฐ จน Apple ขึ้นมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ในปี 2011 ที่ 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
และเมื่อ Microsoft ตัดสินใจทำสมาร์ทโฟนแข่งขันโดยร่วมกับเจ้าตลาดเดิมอย่าง Nokia ออกมาเป็น Windows Phone ในช่วงปี 2012-2013 ลงเอยด้วยความล้มเหลว และล้มเลิกไปในที่สุด
The Nokia Lumia 1020, a Windows Phone with a 41-megapixel camera (Photo by TIMOTHY CLARY/AFP)
ในช่วงกลางทศวรรษที่ 2010 บริษัทอีคอมเมิร์ซ อย่าง Amazon ได้ส่ง AWS เข้ามาให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งและเติบโตอย่างโดดเด่นจนติดอันดับ 1 ใน 5 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก และเป็นผู้ให้บริการคลาวด์อันดับหนึ่งของโลก ซึ่ง Microsoft ก็พยายามทำ MS AZURE แข่งกับ AWS แต่ก็ยังตามหลังอยู่มาก
ในเวลานี้ ไมโครซอฟท์เหลือผลิตภัณฑ์เรือธง อยู่เพียงอย่างเดียวที่ทิ้งห่าง จากคู่แข่ง คือระบบปฏิบัติการ windows แต่ Windows 8 ในขณะนั้นมีการใช้งานน้อยลง คนไม่ยอมเปลี่ยนเนื่องจากความไม่เสถียร และแทบไม่ต่างอะไรจาก Windows 7 ซึ่งเป็นการอัปเกรดใหญ่นับตั้งแต่วินโดวส์มหาชน อย่าง Windows XP
ตอนนี้ Microsoft เหลือเพียง MS Office เท่านั้นที่ยังครองใจคนทั่วโลก ซึ่งก็มี Doc ที่ทำงานบนคลาวด์จาก Google ได้มาท้าชิง
การขึ้นบริหารของ “สัตยา นาเดลลา” พลิก Microsoft ทวงแชมป์
ในช่วงที่ตกต่ำที่สุดของยักษ์ Microsoft ที่เรียกว่าเกือบหลับ ในช่วงทศวรรษที่ 2010 และหสั่นว่าจะโดนบิ๊กเทคน้องใหม่ล้ม ไม่ว่าจะเป็น Google หรือคู่แข่งเก้าอย่าง Apple รงมถึงการดิสรัปชั่นใหม่ ๆ ของโซเชียลมีเดียและคลาวด์
“สัตยา นาเดลลา” ขึ้นรับตำแหน่งซีอีโอในปี 2014 ได้พลิกชะตากรรม เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนโมเดลรายได้ผลิตภัณฑ์หลักของ Microsoft อย่าง windows ซ่งเขาข้ามการอัพเกรด Windows 8 ไป 9 มาออก Windows10 ซึ่งจะรองรับการ “Subscription” จ่ายรายปี แทนการซื้อขาดแบบดั้งเดิมซึ่งมีปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์
รวมถึงโปรแกรมสามัญประจำบ้านอย่าง MS Office ก็เปลี่ยนเป็น Subscription รายเดือนรายปี และยกระดับเป็น Office 365
บราวเซอร์ อัพเกรดใหม่เป็น Microsoft Edge ยกเลิก IE
“สัตยา” เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกหน่วยธุรกิจคลาวด์ Azure ตั้งแต่เป็นผู้บริหารระดับกลาง ในตอนนี้จึงมุ่งเน้นด้านคลาวด์เป็นรายได้หลักตัวใหม่ด้วย
รวมถึงดีลใหม่ ๆ ที่ขยายพอร์ต Microsoft ทั้งด้านโซเชียลมีเดียอย่าง LinkedIn และอุตสาหกรรมเกมส์ด้วยการเข้าซื้อ Xbox และพยายามเข้าครอบงำกิจการขอฃ Activity Blizard สตูดิโอเกมที่ครอบครองแฟรนไชส์เกมขายดีที่สุดในโลก จน Sony เจ้าของเครื่อง Play Station ต้องออกมาขัดขวางฟ้องร้องว่า Microsoft จะผูกขาดตลาดเกมตั้งแต่ต้นน้ำ
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ ให้ทุนกับ OpenAI และได้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กับ Microsoft อย่างยิ่ง เพราะ Gen AI สามารถปรับใช้กับ ผลิตภัณฑ์เรือธง ของไมโครซอฟท์ได้แทบทุกอย่าง โดยเฉพาะ ไมโครซอฟท์ออฟฟิศ สามารถเพิ่มผลิตภาพและประสิทธิภาพของโปรแกรมดั้งเดิม ที่ตอนนี้แปลงเป็น MS Copilot เพื่อเชื่อมบริการทั้งหมดในระบบปฏิบัติการของ Windows และกำลังจะคิดเงินกับผู้ใช้จำนวนมหาศาล
ขณะที่คู่แข่งดั้งเดิมอย่าง Apple ต้องยุบหน่วยเอไอทิ้งไป ยิ่งจะไล่ตามหลังไม่ทัน และ Google ต้องเร่งเครื่องจี้ตามมาติด ๆ จนเอไอ Bard ที่ออกมาใหม่มีข้อผิดพลาดสะเทือนความเชื่อมั่นเต็มไปหมด
การมาถึงของเอไอในภาคประชาชน (ขอใช้คำนี้ เพราะว่า เอไอมีมานานแล้ว แต่ใช้งานกับบุคคลได้ยาก) ตอนนี้เหมือนว่า Microsoft กำลังเป็นผู้นำ ขณะที่ความต้องการด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์เอไอ ไปผลักดันรายได้กลุ่มธุรกิจคลาวด์ด้วย
เวลา 10 ปี ที่ “สัตยา” พลิกองค์กรยักษ์หลับ ให้กลับมาครองแชมป์บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกกว่า 3.09 ล้านล้านเหรียญสหรัฐอีกครั้ง และกำลังขย่มวงการเทคโนโลยีอีกด้วย...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/ict/news-1561963?utm_source=linetoday&utm_medium=footer_click